Stimvia ศึกษานำร่องแล้วเสร็จ พร้อมประกาศผลลัพธ์เบื้องต้นที่มีแววดี หวังเป็นการรักษาเสริมที่มีศักยภาพสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน

ปราก, 7 มิถุนายน 2567 /PRNewswire/ — Stimvia บริษัทเทคโนโลยีการแพทย์ระดับบุกเบิกที่เชี่ยวชาญในการปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบประสาทเพื่อรักษาโรคเรื้อรัง ประสบความสำเร็จในการศึกษานำร่องที่เน้นเรื่องโรคพาร์กินสัน (PD) และคาดว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี

The URIS® device operates on a principle of electrical transcutaneous nerve modulation (eTNM®).
The URIS® device operates on a principle of electrical transcutaneous nerve modulation (eTNM®).

 

ศ.ดร.นพ. David Skoloudik, FESO, FEAN, หัวหน้าการศึกษาวิจัยและรองคณบดีฝ่ายวิทยาศาสตร์และการวิจัยประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย Ostrava University กล่าวว่า "เรามีความยินดีในการแบ่งปันข้อค้นพบเบื้องต้นซึ่งบ่งชี้ผลลัพธ์ที่มีแววดี โดยผู้ป่วยรายงานว่าอาการของโรคพาร์กินสันและคุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้น นอกจากนี้ เรายังสังเกตเห็นว่าอาการสั่นขณะอยู่นิ่งลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ข้อมูลที่แม่นยำยังต้องรอประเมินให้เข้มงวดต่อไป แต่เรายังคงมีความมั่นใจแต่ขณะเดียวกันก็ยังมีความระมัดระวังเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากผลลัพธ์เหล่านี้"

ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน 12 รายที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์การคัดเลือกได้เข้าร่วมการศึกษานี้ โดยผู้ป่วยใช้อุปกรณ์ URIS® เป็นเวลา 6 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นวันละ 30 นาที และเมื่อพ้นระยะนี้ไปแล้ว ผู้ป่วยก็อยู่ต่ออีก 6 สัปดาห์โดยไม่มีการกระตุ้น ในระหว่างนั้นพวกเขายังคงได้รับการตรวจสอบเพื่อประเมินว่ามีผลบวกใด ๆ คงอยู่หลังจากการรักษาสิ้นสุดลงหรือไม่

Lukas Doskocil ซีอีโอของ Stimvia กล่าวว่า "เนื่องจากเทคโนโลยี URIS® แสดงให้เห็นผลลัพธ์เชิงบวกในการรักษาโรคพาร์กินสัน Stimvia จึงมีแผนลงทุนจำนวนมากในการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติม เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวิธีการดังกล่าว เราเชื่อว่าเทคโนโลยีของเราจะนำเสนอวิธีการรักษาเสริมแบบใหม่ ๆ ให้ผู้ป่วยหลายล้านคนที่ปัจจุบันไม่มีทางเลือกอื่น ซึ่งอาจเข้ามามอบผลกระทบเชิงบวกในการปรับเปลี่ยนโรคกับผู้ที่เป็นโรคพาร์กินสันได้"

บริษัทฯ ตั้งเป้านำเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์นี้ ไปใช้รักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจำนวนมากในอนาคตอันใกล้ โดยในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว มีคนประมาณ 1 ล้านคนได้รับผลกระทบจากภาวะเหล่านี้ จากผู้ป่วยมากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก โรคพาร์กินสันจัดเป็นโรคความเสื่อมของระบบประสาทที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 รองมาจากโรคอัลไซเมอร์

ข้อมูลทั้งหมดจากการศึกษานำร่องนี้จะประกาศให้ทราบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

เกี่ยวกับ Stimvia และเทคโนโลยี URIS®

Stimvia เป็นบริษัทเทคโนโลยีการแพทย์ผู้บุกเบิกทางคลินิก โดยมุ่งพัฒนาและจำหน่ายนวัตกรรมการรักษาโรคเรื้อรังแบบไม่ต้องผ่าตัด Stimvia ทุ่มเทวิจัยมานานหลายปีและศึกษาทางคลินิกหลายโครงการ โดยได้พัฒนาเทคโนโลยีพิเศษอย่าง URIS® ซึ่งใช้เทคนิคปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบประสาทพีโรเนียล (eTNM®) แนวทางอันบุกเบิกนี้นับเป็นเทคนิคแบบไม่รุกรานครั้งแรกในการกระตุ้นโครงสร้างสมองส่วนลึก ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของโรคเรื้อรังหลายชนิด ขณะที่การศึกษาทางคลินิกในปัจจุบันเผยให้เห็นว่า เทคโนโลยีของ Stimvia มีประสิทธิภาพมากเป็นอันดับต้น ๆ ในการรักษาภาวะต่าง ๆ เช่น ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคนประมาณ 40 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา

องค์ประกอบทางเทคโนโลยีและแนวทางหลักของบริษัทฯ มีสิทธิบัตรระดับโลกคุ้มครองมากกว่า 100 ฉบับทั่วสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ Stimvia ยังได้รับการรับรองอันทรงเกียรติจากสถาบันเยอรมนีที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกอย่าง TÜV SÜD

รูปภาพ: https://mma.prnasia.com/media2/2432205/Stimvia_URIS.jpg?p=medium600
โลโก้: https://mma.prnasia.com/media2/2036393/3946833/Stimvia_Logo.jpg?p=medium600

 

Source : Stimvia ศึกษานำร่องแล้วเสร็จ พร้อมประกาศผลลัพธ์เบื้องต้นที่มีแววดี หวังเป็นการรักษาเสริมที่มีศักยภาพสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน

This content was prepared by our news partner, Cision PR Newswire. The opinions and the content published on this page are the author’s own and do not necessarily reflect the views of Siam News Network

Share

Latest Updates

Most Viewed

Related Articles